เรียงความแก้กระทู้ธรรม ชั้นโท
เรียงความแก้กระทู้ธรรม ชั้นโท
(ตังอย่างการเขียน)
โย จ วสฺสสตํ ชีเว ทุปฺปญฺโญ อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย ปญฺญวนฺตสฺส ฌายิโน
ผู้ใดมีปัญญาทราม มีใจไม่มั่นคง พึงเป็นอยู่ตั้งร้อยปี
ส่วนผู้มีปัญญาเพ่งพินิจ มีชีวิตอยู่สิ้นวันเดียว ประเสริฐกว่า.
ณ บัดนี้จักได้บรรยายขยายความกระทู้ธรรมสุภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้น พอเป็นแนวทางแห่งการศึกษาและนำไปปฏิบัติสืบต่อไป
คำว่า “ ผู้มีปัญญาทราม ” คือ ผู้โง่เขลา มีใจประกอบด้วยอวิชชา ไม่รู้แจ้งเห็นจริงตามสภาวะความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไม่รู้ในหลักของชีวิตว่าเป็นตามหลักของไตรลักษณ์ คือ หลงเข้าใจว่า ชีวิต และสรรพสิ่งทั้งปวง เป็นของเที่ยง มีความเป็นอยู่อย่างจีรังยั่งยืน ทำให้ไม่สามารถเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้มีความยึดถือในเรื่องของตัวตน หลงยึดมั่นในชีวิตและสิ่งทั้งปวงว่าเป็นของเรา เมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพไปไม่เป็นไปตามที่ตนเองต้องการ จึงทำให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจ ไม่สามารถยอมรับถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้อีกประการหนึ่ง คนโง่เขลานั้น มีลักษณะประมาทในการทำดี มีแต่ประกอบกรรมที่ยังตนและคนอื่นให้เดือดร้อน ต่างจากคนที่มีปัญญา ซึ่งเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต มองเห็นการทำความดี มีผลเป็นความสุข หลีกเลี่ยงการทำชั่วปวง ดังนั้นบัณฑิตจึงใช้ชีวิตต่างจากคนที่ไม่มีปัญญาเพราะเล็งเห็นผลที่เกิดขึ้น สมดังพุทธภาษิตที่มาใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ว่า
ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ
กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ
บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น
ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว.
คำว่า " ผล " ในที่นี้คือ สิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำหรืออะไรก็ตามที่ต่อเนื่องมาจากเหตุ ท่านเปรียบเสมือนกับชาวนา เมื่อหว่านข้าวลงในนา ย่อมได้รับผลคือ ข้าวนั่นเอง หรือชาวสวนที่ปลูกผลไม้ไม่ว่าจะเป็นมะม่วง ลำใยทุเรียน กล้วย ผลที่ได้ก็จะเป็นมะม่วง ลำใย ทุเรียน กล้วย ตามต้นที่ปลูก อุปมานี้ฉันใด การทำกรรมก็ฉันนั้นเหมือนกัน ใครทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ใครทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว ผลของการกระทำที่เกิดขึ้นนั้นก็มาจากเหตุแห่งการกระทำที่ตนได้ทำแล้วนั่นเอง ดังนั้นบุคคลผู้รู้ทั้งหลายจึงยินดีในการบำเพ็ญความดี ยินดีที่จะฝึกตนอย่างคนไม่ประมาท คอยประคับประคองจิตของตนไม่ให้ตกไปในอำนาจของบาปอกุศลธรรมทั้งหลาย สมดังพุทธภาษิตที่มาในขุททกนิกาย ธรรมบทว่า
อปฺปมาทรตา โหถ สจิตฺตมนุรกฺขถ
ทุคฺคา อุทฺธรถตฺตานํ ปงฺเก สนฺโนว กุญฺชโร
ท่านทั้งหลาย จงยินดีในความไม่ประมาท คอยรักษาจิตของตน
จงถอนตนจากหล่ม เหมือนช้างที่ตกหล่มถอนตนขึ้น ฉะนั้น.
ความว่า ท่านทั้งหลาย จงยินดีในความไม่ประมาท ในที่นี้ท่านหมายถึง การดำรงชีวิตอยู่อย่างรอบคอบมีสติคอยระวังไม่ให้จิตอยู่อย่างปราศจากสติ ไม่ประมาทในการละกายทุจริต ประพฤติกายสุจริต เป็นต้น นอกจากนี้พระพุทธองค์ทรงสอนไม่ให้ประกอบความประมาท คือไม่ให้หลงไปในหลุมพรางของอำนาจความยินดีในกาม คือ ไม่ให้ปล่อยใจไปตามอารมณ์ที่ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เพราะถ้าไม่สามารถควบคุมความต้องการทางอารมณ์ ได้ย่อมก่อให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นปัญหา อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ดังนั้นผู้มีปัญญาทั้งหลายจึงรู้จักเพ่งพินิจเห็นโทษของกามคุณ สิ่งยั่วยุทั้งหลาย ว่าเป็นสาเหตุให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น ตั้งจิตอยู่ในกุศลธรรม ย่อมได้รับความสุขตามที่ตนเองปรารถนา
สรุปความว่า คนไม่มีปัญญา ย่อมมีชีวิตอยู่อย่างผู้ประมาท มีชีวิตอยู่เพื่อทำความเดือดร้อนฝ่ายเดียว
ยิ่งมีชีวิตอยู่นาน ยิ่งสร้างบาปอกุศลกรรมไว้มาก ซึ่งต่างจากผู้มีปัญญา แม้อยู่เพียงวันเดียว ก็ประเสริฐกว่าคนไม่มีปัญญา เพราะคนมีปัญญา มีชีวิตอยู่อย่างผู้ไม่ประมาท รู้สิ่งที่ควรหรือไม่ควร ประพฤติสิ่งที่ควรประพฤติ เว้นสิ่งที่ควรเว้น เป็นผู้เพ่งพินิจ พิจารณาเห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริง บำเพ็ญคุณงามความดี ย่อมมีชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์สุขตนและคนอื่น สมดังสุภาษิตที่ได้ลิขิตไว้ ณ เบื้องต้นว่า
โย จ วสฺสสตํ ชีเว ทุปฺปญฺโญ อสมาหิโต
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย ปญฺญวนฺตสฺส ฌายิโน.
ผู้ใดมีปัญญาทราม มีใจไม่มั่นคง พึงเป็นอยู่ตั้งร้อยปี
ส่วนผู้มีปัญญาเพ่งพินิจ มีชีวิตอยู่วันเดียว ประเสริฐกว่า.
ดังพรรณนามาฉะนี้แล ฯ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น